กรมชลฯ นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ดีกินดีอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 29-30 ตุลาคม 2568 นายปรัชญา ฉายวัฒนา (วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ) กรมชลประทาน พร้อมด้วยผู้บริหารกรมชลประทาน เจ้าหน้าที่สำนักงานชลประทานที่ 17 และที่ปรึกษาโครงการฯ นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ประกอบด้วย จุดที่ 1 บริเวณปากคลองกอตอ-แม่น้ำสายบุรี ตำบลตะโละดือรามัน อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี จุดที่ 2 ปากน้ำบางสาย ตำบลดอนทรายอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นทางออกสู่ทะเลอ่าวไทย จุดที่ 3 โครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำบ้านม่วงชุม ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี และจุดที่ 4 โครงการประตูระบายน้ำปากคลองพรุบาเจาะ ตำบลบาเระใต้ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส

นายปรัชญา ฉายวัฒนา (วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ) เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้ให้ความสำคัญกับปัญหาและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่น้ำสายบุรี ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ที่ประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง รวมทั้งปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ ส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค และทำการเกษตร สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากแม่น้ำสายบุรี เป็นลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา มีความยาวลำน้ำ 195 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 3,213.01 ตารางกิโลเมตร (2.01 ล้านไร่) ปริมาณฝนสะสมเฉลี่ย 2,551.88 มิลลิเมตร และปริมาณน้ำท่า 5,466.74 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี





จากสถานการณ์ดังกล่าว สำนักงานชลประทานที่ 17 จึงได้เสนอแผนงาน “โครงการศึกษาเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำสายบุรี” โดยครอบคลุมพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัย รวมทั้งปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ ต่อมากรมชลประทานจึงได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดทำโครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ในปีงบประมาณ 2568 ระยะเวลาดำเนินการ 600 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งและปัญหาอุทกภัยที่เกิดซ้ำซากในฤดูฝน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน ลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น


โดยมีแผนหลักทั้งหมด 198 โครงการ ซึ่งในแผนหลักมีโครงการสำคัญตามข้อเสนอของพื้นที่จำนวน 20 โครงการ อาทิ 1) โครงการบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรีตอนล่าง (คลองกอตอ-คลองไม้แก่น-คลองสายบุรี) 2) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและกักเก็บน้ำโครงการพรุบาเจาะ-ไม้แก่น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 3) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนคลองไอร์ลือโบว์ 4) โครงการฟื้นฟูพรุปาเซรายอ 5) โครงการป้องกันน้ำเค็มคลองละเวง 6) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนคลองไอร์ยูง-คลองไอร์ดาฮง ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสามารถบรรเทาอุทกภัยและลดความเสียหายในพื้นที่ลุ่มน้ำสายบุรีตอนล่างเป็นพื้นที่ประมาณ 90,000 ไร่ ได้แก่ อำเภอกะพ้อ อำเภอปะนาเระ อำเภอสายบุรี และอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี อำเภอรามัน จังหวัดยะลา รวมถึงอำเภอบาเจาะ และอำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พร้อมทั้งสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักได้ประมาณ 366 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ


“กรมชลประทานมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการภายใต้หลักความโปร่งใส และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในทุกขั้นตอน เพื่อให้แนวทางการพัฒนาสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งและปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในฤดูฝน รวมถึงปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำอย่างยั่งยืนในระยาวต่อไป” นายปรัชญา กล่าว

วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ กรมชลประทาน กล่าวอีกว่า โครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา มีขั้นตอนการศึกษาประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ส่วนที่ 1 แผนหลักการพัฒนาและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และส่วนที่ 2 การศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ปัจจุบันดำเนินการอยู่ในขั้นตอนการจัดทำแผนหลัก และหลังจากนี้จะดำเนินการจัดลำดับความสำคัญ ของโครงการ เพื่อคัดเลือกโครงการนำไปสู่การศึกษาความเหมาะสม จำนวน 2 โครงการ โดยทางบริษัทที่ปรึกษาจะเป็นผู้นำเสนอแผนงานต่อไป

ด้านนายศุภณัฐ ปริยชาติ ผู้จัดการโครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา กล่าวว่า โครงการร่างแผนหลักการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำสายบุรี รวบรวมจากแผนพัฒนาด้านแหล่งน้ำในอนาคตจากโครงการสำคัญที่บริษัทที่ปรึกษาเสนอแผนงาน/โครงการในอนาคด (MTEF) ของกรมชลประทาน แผนงานพัฒนาแหล่งน้ำของกรมทรัพยากรน้ำ และแผนพัฒนาจังหวัดของสำนักงานจังหวัดนราธิวาส สำนักงานจังหวัดปัตตานี และสำนักงานจังหวัดยะลา จำนวนทั้งสิ้น 198 โครงการ ประกอบด้วย กรมชลประทาน 75 โครงการ กรมทรัพยากรน้ำ 15 โครงการ สำนักงานจังหวัดนราธิวาส 78 สำนักงานจังหวัดปัตตานี 9 โครงการ สำนักงานจังหวัดยะลา 1 โครงการ โครงการสำคัญตามข้อเสนอของพื้นที่ 20 โครงการ

สำหรับโครงการสำคัญตามข้อเสนอของพื้นที่จำนวน 20 โครงการนั้น เป็นแผนงานที่เกิดจากการรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ผ่านเวทีประชาสัมพันธ์และการจัดประชุมสนทนาแบบกลุ่ม (Focus Group) เพื่อให้แผนพัฒนาเป็นไปตามความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง และจากการรวบรวมแผนงานทั้งหมดสามารถจำแนกกลุ่มโครงการตามลักษณะพื้นที่ลุ่มน้ำได้ดังนี้ 1.ลุ่มน้ำสายบุรีตอนบน เป็นกลุ่มโครงการประเภทพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนในลำน้ำสาขา 2.ลุ่มน้ำสายบุรีตอนกลาง เป็นกลุ่มโครงการประเภทพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนในลำน้ำสาขา และเพิ่มปริมาตรเก็บกักน้ำ บึง แก้มลิงธรรมชาติ และฟื้นฟูระบบนิเวศ 3.ลุ่มน้ำสายบุรีตอนล่าง เป็นกลุ่มโครงการประเภทคลองผันน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยและโครงการป้องกันน้ำเค็มรุกล้ำ

ขณะที่นายซอฟรี สาและ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตะโละดือรามัน อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ตำบลตะโละดือรามันว่า ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากตำบลตะโละดือรามันมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 40-50 ครัวเรือน ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ทำสวนทุเรียน มะพร้าว ปลูกพืชผัก เช่น แตงกวา พริก แตงโม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ปลายน้ำในลุ่มแม่น้ำสายบุรีก่อนที่จะออกสู่ทะเลอ่าวไทย ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา พอถึงฤดูน้ำหลากในพื้นที่ 90% ถูกน้ำท่วม บ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายทั้งหมด ถนนเข้าหมู่บ้านถูกตัดขาด ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ อีกทั้งความรุนแรงของกระแสน้ำ ทำให้เกิดการกัดเซาะตลิ่งพังทั้งสองฝั่ง ประกอบกับเมื่อถึงช่วงน้ำทะเลหนุน ทำให้ปริมาณน้ำในบริเวณนี้ไหลลงสู่ทะเลล่าช้า จึงเกิดปัญหาน้ำท่วมขังประมาณ 7-15 วัน เมื่อถึงช่วงฤดูแล้งปริมาณน้ำลดลง จึงไม่สามารถทำการเกษตร ดังนั้น จึงอยากให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำก่อน โดยจะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ต้องทำการขุดลอกตะกอนดินทรายที่ทับถมกันเป็นเวลา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่น้ำลำคลองตื้นเขิน น้ำไหลล่าช้าตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และอยากให้ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำเพื่อให้มีการระบายน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ปัจจุบันทางสำนักงานชลประทานที่ 17 ได้ดำเนินการก่อสร้างสปริงเวย์เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลอ่าวไทย สามารถป้องกันน้ำท่วมในปีที่ผ่านมาได้


“โครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรีตอนล่าง บริเวณปากคลองกอตอ-สายบุรี ถือว่าเป็นโครงการที่ดี จะช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ตำบลตะโละดือรามันได้เป็นอย่างดีและเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป” นายก อบต.ตะโละดือรามัน กล่าว

นายแปอิง นาเซ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ตำบลตะโละไกรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ในพื้นที่ตำบลตะโละไกรทองประสบปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามา ในช่วงฤดูแล้งทำให้เกิดตะกอนดินทรายทับถมในพื้นที่ปลูกต้นจาก และนาข้าว โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ทำให้ผลผลิตตกต่ำ และเกิดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน จึงอยากให้กรมชลประทานดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยการก่อสร้างประตูระบายน้ำ เพื่อสกัดกั้นน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ และแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะตลิ่งพัง ส่วนโครงการศึกษาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาอุทกภัยแม่น้ำสายบุรี หากโครงการนี้แล้วเสร็จ เชื่อว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์จากโครงการ สามารถทำการเกษตรได้ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นต่อไป


สำหรับปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ในหมู่บ้านสารวัน ตำบลไทรทองอำเภอไม้แก่นจังหวัดปัตตานี โดยนายเสริม สิทธิพันธ์ อดีตข้าราชการครูและตัวแทนชาวบ้าน บ้านสารวัน ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ปัจจุบันเป็นเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบราชินีนาถ บ้านไม้แก่น-บ้านสารวัน (เกษตรผสมผสาน) ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำบ้านม่วงชุม โดยใช้น้ำทำการเกษตร ในฟาร์มตัวอย่างฯ เพื่อปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา ปลูกมะพร้าว ขนุน ชะอม ผักหวาน ฯลฯ ซึ่งในอดีตเมื่อปี 2547 จากเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ชาวบ้านจึงเกิดความหวาดกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย และไม่มีความสงบสุข และที่สำคัญคือ ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ ทำให้พื้นที่การเกษตรเสียหายทั้งหมด พอถึงช่วงฤดูแล้งก็ขาดแคลนน้ำ ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาโดยตลอด จากนั้นชาวบ้านจึงได้ประชุมหารือกันเพื่อทำเรื่องถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ท่านทรงรับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต่อมาทางสำนักงานชลประทานที่ 17 ได้จัดทำโครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำบ้านม่วงชุม เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อกลางปี 2568 ช่วยป้องกันน้ำเค็มรุกล้ำ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตดี มีรายได้เพิ่มขึ้น มีความอยู่ดีมีสุข คุณภาพชีวิตดีขึ้น




“รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ท่านทรงเล็งเห็นปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร จนทุกวันนี้สามารถทำนา ทำสวน ทำไร่ ปลูกผัก เลี้ยงปลา และในอนาคตจะวางแผนพัฒนาต่อยอดการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เมื่อเสร็จจากการทำนาแล้วก็วางแผนปลูกพืชผัก เช่น ถั่วลิสง เพื่อเสริมสร้างรายได้ และได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย” นายเสริม กล่าว

ว่าที่ ร.ต.ชาญยุทธ ยูงมณีรัตน์ ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรม สำนักงานชลประทานที่ 17 กล่าวว่า โครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำบ้านม่วงชุม ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี เกิดขึ้นจากการที่นายเสริม สิทธิพันธ์ ซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้านได้ถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องของปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำในพื้นที่การเกษตร จำนวน 800 ไร่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ต่อมาสำนักงานชลประทานที่ 17 ได้ทำการศึกษาสำรวจออกแบบและก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ลักษณะโครงการจะมีอาคารบังคับน้ำฝายน้ำล้น สามารถเก็บกักน้ำได้ 60,000 ลูกบาศก์เมตร มีท่อระบายน้ำขนาด 2.5 ×2.5 เมตร จำนวน 3 ช่อง ด้านเหนือน้ำได้มีการเสริมคันทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา และมีทางรอดคันกั้นน้ำจำนวน 6 แห่ง พร้อมทั้งมีอาคารส่งน้ำเพื่อการเกษตร จากผลสำเร็จของโครงการได้มีการวัดคุณภาพน้ำ พบว่าค่าความเค็มลดลง ปัจจุบันค่าความเค็มใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานน้ำเพื่อการเกษตร และผลสัมฤทธิ์ของโครงการได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ และคาดว่าจะนำโมเดลนี้เป็นโครงการต้นแบบในการขยายไปยังพื้นที่อื่นอีก โดยใช้รูปแบบเดียวกัน ซึ่งอยู่ 1 ใน 20 โครงการที่สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน ได้ทำการศึกษาและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป ซึ่งถ้าโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน



ส่วนโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำปากคลองพรุบาเจาะ ตำบลบาเระใต้ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส นายมูฮำมัด สาและ กำนันตำบลบาเระใต้ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาหลักในพื้นที่คือ ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่า เนื่องจากพื้นที่ตำบลบาเระใต้ มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ รับน้ำมาจากพื้นที่ต้นน้ำ และกลางน้ำ ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรเสียหาย จึงอยากให้ทางสำนักงานชลประทานที่ 17 ดำเนินการขยายคลองเพื่อรองรับปริมาณน้ำในช่วงฤดูฝน และในช่วงฤดูแล้งสามารถเปิด-ปิดประตูระบายน้ำได้ ซึ่งทางคณะกรรมการกลุ่มผู้ใช้น้ำได้เสนอ ให้ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำครอบคลุมทุกพื้นที่ในตำบลบาเระใต้ ถ้าโครงการนี้สำเร็จก็จะช่วย แก้ปัญหาต่างๆ ได้ ความสูญเสียก็จะลดน้อยลง พืชผลทางการเกษตรก็จะเสียหายน้อยลง ชาวบ้านจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนแผนการบริหารจัดการน้ำในอนาคต ทางคณะกรรมการกลุ่มผู้ใช้น้ำอยากให้มีการติดตั้งระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยการสูบน้ำจากคลองชลประทานส่งไปยังแปลงนาของเกษตรกร หลังจากนี้ก็จะมีการประชุมหารือกับทุกภาคส่วนเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์สุขของราษฎรต่อไป