วันพุธที่ 29 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 10.30 น. นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมด้วยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายศุภรัชต์ อินทราวุธ รองเลขาธิการ กปร. และคณะอนุกรรมการฯ เดินทางไปยังโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ (เวียงป่าเป้า) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อเชิญสิ่งของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีไปมอบแก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงาน ประกอบด้วย เสื้อกันหนาวมอบให้แก่เด็กในพื้นที่โครงการฯ จำนวน 72 ตัว ถุงพระราชทานมอบให้แก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่โครงการฯ จำนวน 113 ถุง สร้างความปลื้มปีติให้แก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงานในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยพสกนิกรเสมอมา จากนั้น องคมนตรีและคณะรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ พร้อมพบปะเยี่ยมเยียนราษฎร เยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของราษฎรในพื้นที่โครงการฯ โอกาสนี้ องคมนตรีร่วมกิจกรรมการย้ายชำกล้าชาอัสสัม
โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ (เวียงป่าเป้า) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทรงรับโครงการดังกล่าวฯ ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2554 โดยมีพระราชดำริความว่า “ให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างผสมผสานกลมกลืนเป็นอย่างดี” เพื่อส่งเสริมศักยภาพกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และขยายผลสู่กลุ่มเกษตรกรข้างเคียงได้ อีกทั้งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ราษฎรส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง มีการทำอาชีพเก็บชา เมี่ยง ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม และได้เริ่มปลูกกาแฟเป็นของตนเอง โดยได้รับการส่งเสริมจากโครงการฯ และหน่วยงานร่วมโครงการฯ รวมถึงส่งเสริมการปลูกผลไม้ยืนต้น (ไม้เมืองหนาว) เช่น พลับ อะโวคาโด้ และโกโก้ ทำให้ราษฎรมีรายได้จากการถักไม้กวาดดอกหญ้า เก็บหาของป่าขาย และรับจ้างงานจากหน่วยงานในพื้นที่เป็นอาชีพเสริม จากปี 2553 มีรายได้เฉลี่ย 18,000 บาท/ครัวเรือน/ปี และในปี 2567 มีรายได้เฉลี่ย 120,000 บาท/ครัวเรือน/ปี อีกทั้งน้ำในลำห้วยมีคุณภาพดีขึ้นและไหลตลอดปี ราษฎรที่อาศัยอยู่ท้ายน้ำมีน้ำใช้เพื่อการเกษตร จำนวน 7,000 ไร่ มีน้ำกินน้ำใช้ในครัวเรือนรวม 586 ครัวเรือน นอกจากนี้ ราษฎรยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการช่วยดูแลรักษาป่า ร่วมปลูกป่าทดแทน และเก็บหาของป่า ทำให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 1,700 ไร่ ส่งผลให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้ที่มั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างยั่งยืน
ช่วงบ่าย องคมนตรีและคณะเดินทางไปยังโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บ้านห้วยหญ้าไซ ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงาน ประกอบด้วย เสื้อกันหนาวมอบให้แก่เด็กในพื้นที่โครงการฯ จำนวน 175 ตัว และถุงพระราชทานมอบให้แก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่โครงการฯ จำนวน 50 ถุง จากนั้น องคมนตรีร่วมกิจกรรมการเก็บผลผลิตทางการเกษตรของโครงการฯ เยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของราษฎรในพื้นที่โครงการฯ และพบปะเยี่ยมเยียนราษฎรจำนวน 10 ครอบครัวของบ้านห้วยหญ้าไซ โอกาสนี้ องคมนตรีร่วมกิจกรรมตำข้าวปุกกับราษฎรของบ้านห้วยหญ้าไซ และรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2542 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ณ บ้านห้วยหญ้าไซ ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และมีพระราชดำริจะอพยพราษฎรซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าอาข่า (อีก้อ) ที่มีฐานะยากจนไม่มีพื้นที่ทำกินเป็นของตนเอง มาจัดตั้งหมู่บ้านใหม่ลักษณะ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” โดยดำเนินการในรูปแบบที่ให้ “คน” สามารถอยู่ร่วมกับ “ป่า” ได้อย่างมีจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมพิทักษ์รักษา “ป่า” รวมทั้งฟื้นฟูสภาพ “ป่า” ที่ถูกทำลายให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ และส่งเสริมให้ราษฎรได้รับการศึกษา จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 3 คน จากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริก่อเกิดผลสัมฤทธิ์ในด้านต่าง ๆ อาทิ ฟื้นฟูระบบนิเวศไปแล้ว 7,500 ไร่ ราษฎรมีรายได้ที่มาจากงานศิลปาชีพ เช่น การทำเครื่องเงิน ผ้าปัก แกะสลักไม้ การจักสานไม้ไผ่ รับจ้างทั่วไป นอกจากนี้ยังส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าเพื่อเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริมอื่น ๆ เช่น การปลูกงาขี้ม่อน ข้าวเหนียวดำ และไม้ผลเป็นอาชีพเสริม โดยราษฎรขายกาแฟแบบผลเชอร์รี่มีพ่อค้าคนกลางจากหมู่บ้านดอยช้างมารับซื้อ ในปี 2566 ขายกาแฟแบบผลเชอร์รี่ได้ประมาณ 5,000-6,000 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 37 บาท ทำให้มีรายได้เข้าสู่ชุมชนประมาณ 185,000 บาท ซึ่งก่อนการก่อตั้งโครงการฯ ราษฎรมีรายได้ต่อครัวเรือนเฉลี่ย 30,000 บาท/ปี ปัจจุบันมีรายได้ต่อครัวเรือนเฉลี่ยประมาณ 55,000-70,000 บาท/ครัวเรือน/ปี