บึงกาฬ ชาวสวนริมโขงร้องคัดค้านเทศบาลจะเอาที่ทำกินมากว่า100 ปีไปเป็น นสล.

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 20 ก.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานจากริมโขงบ้านบึงกาฬใต้ หมู่ 2และ 3 ต.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ ว่าได้มีตัวแทนชาวบ้านประมาณ 50 คนได้เชิญสื่อมวลชนมาทำข่าวและถือป้ายมาร้องคัดค้านที่ทางเทศบาลเมืองึงกาฬ จะนำที่ดินชายหาดริมโขงกว่า 700 ไร่ ที่บางปีน้ำก็ท่วม หลายปีน้ำก็ไม่ท่วมถึง จึงเป็นโอกาสปลูกพืชทั้งถาวรเช่นยางพารา และทำนาข้าว ช่วงน้ำลดชาวบ้านก็พากันปลูกพืชผักระยะสั้นหมุนเวียนขายตลาดเพื่อเลี้ยงชีพและส่งลูกหลานเรียนหนังสือจนจบปริญญามีงานทำ ส่วนพ่อแม่ก็ยังก้มหน้าก้มตาปลูกพืชผักต่อไปเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง แต่จู่ๆ ก็จะถูกเทศบาลเมืองบึงกาฬยึดเอาที่ดินแปลงดังกล่าวไปขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะประโยชน์ หรือที่ นสล.ชาวบ้านเกรงจะเข้าไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เหมือนเดิม หรืออาจถูกจับข้อหาบุกรุก จึงส่งตัวแทนรวมตัวกันร้องสื่อมวลชนคัดค้านการขึ้นทะเบียน นสล.

นายวิทยา เสนจันทร์ธิไชย อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบึงกาฬได้กล่าวว่าความเข้าใจของชาวบ้านที่ตรงนี้มันเป็นที่ว่างเปล่าไม่ใช่เป็นที่สาธารณะชาวบ้านทำมาหากินอยู่นานเป็นร้อยปีมีความเดือดร้อนสมัยที่ตนเป็นนายกเทศมนตรีเมืองบึงกาฬ ปี 2555-2563 ได้กันที่ริมโขงไว้ให้พ่อแม่พี่น้องให้ห่างจากโฉนดไปทางแม่น้ำโขงประมาณ 100 เมตรเอาไว้ให้ทำกิน ต่อมาทางเทศบาลได้ออกหนังสือถึงที่ดินว่าจะให้มารังวัดที่ตรงนี้ขึ้นเป็น นสล.วันนี้พี่น้องมาประชุมที่จุดนี้เพื่อได้คัดค้านการรังวัดที่ดินเพื่อเป็น นสล.ดังกล่าว ทางเทศบาลมาขอรังวัด 3 ครั้งแล้วก็ไม่สำเร็จเพราะว่าชาวบ้านไม่ยินยอมด้วย จึงได้ทำหนังสือยื่นกับกำนันนายอาทิตย์ สิริวงศ์ เพื่อไปยื่นร้องศูนย์ดำรงธรรมต่อไป หากยังไม่สำเร็จก็จะตั้งตัวแทนไปยื่นต่อที่สำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป

นางเล็ก นิลวดี กล่าวว่า มาวันนี้ก็เพื่อร้องคัดค้านการนำที่ดินไปทำเป็นที่สาธารณะ ที่ดินแปลงนี้ทำมาหากินมาแล้วตั้งแต่พ่อแต่แม่เป็น 100 ปีรวมทั้งรุ่นลูกรุ่นดิฉันมาอีก 70 ปีก็ยังทำอยู่ในที่ดินแปลงนี้ แล้วทำไมถึงจะมาทำเป็นสาธารณะประโยชน์ ทำไมไม่แบ่งไว้ให้ชาวบ้านได้ทำกินบ้าง ความเดือดร้อนก็คือทำมาหากินมาตั้งแต่เกิดมาจนเฒ่าจนแก่ จึงมาร้องคัดค้านเอาไว้เพื่อให้ลูกหลานได้ทำอยู่ทำกินต่อไป จึงไม่พอใจหากทางรัฐมาทำเป็นที่สาธารณะ ความจริงตัวเองเริ่มทำสวนมาตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะมีครอบครัวต้องต่อสู้ดิ้นรนจนมาถึงปัจจุบัน ปลูกพืชผักทุกอย่าง ไม่เคยให้ที่ดินว่างเปล่า น้ำลดก็เพาะพันธุ์มะเขือเทศเพื่อปลูกลงดิน ทั้งพริก มะเขือ ฟักทอง และปลูกกล้วยทุกชนิดให้สามีส่งขายตลาด หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ทำมาหากินเลี้ยงลูก 5 คน 4 คนได้รับราชการ 1 คนไม่ได้ทำงาน จึงกรีดยางพาราในที่ดินแปลงนี้ หากถูกเทศบาลยึดคืนที่ไปต้นยางพาราก็ถูกตัดโค่นไปด้วย ลูกซึ่งไม่มีงานทำจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อกิน จึงอยากจะกราบวิงวอนทางราชการขอที่ดินไว้ทำกินบ้าง อย่าได้ตัดตีนตัดมือเลย ไม่ปฏิเสธความเจริญ แต่อย่ามาทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน

นายชุม เพ็งทอง อายุ 87 ปีบอกว่าเกิดที่บึงกาฬ ทำมาหากินอยู่ในดินแปลงนี้กว่า 60 ปีแล้ว ก่อนนี้พ่อแม่ตายายก็ทำกินในที่ดินแปลงนี้มาก่อน ปลูกพริก มะเขือ ข้าวโพดและเผือกมัน พืชผักทุกอย่างพอได้ซื้อข้าวกินเป็นวันๆ ไปไม่ใช่จะร่ำรวยอะไร ถ้าทางการมายึดไปก็ไม่มีที่จะปลูก ทุกคนก็จะทุกข์ยากลำบากกากกรรมไป จึงอยากร้องขอทางการได้อุทธรณ์ผ่อนผันโทษ และอโหสิกรรมให้ชาวนาชาวสวนได้ทำมาหากินด้วย

นายสุรศักดิ์ พุทธวงษ์ กล่าวว่าปลูกพืชผักทำมาหากินตั้งแต่รุ่นปู่ย่ามากว่า 100 ปี ประกอบอาชีพปลูกผักค้าขายส่งลูกเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรีทั้ง 2 คนมีงานทำหมดแล้ว ส่วนผมก็ยังปลูกพืชผักขายและกรีดยางพาราหาเงินเลี้ยงชีพต่อไปในที่ดินแปลงนี้ยึดถือตามบรรพบุรุษที่ทำต่อๆ กันมา จึงอยากคัดค้านว่าทางรัฐจะยึดที่ทำกินไปจากชาวบ้านแล้วเขาจะเอาอะไรมาทำกินเลี้ยงชีพต่อไป.

ณฐพรหม อิทธิพัทธืพล//บึงกาฬ รายงาน