ชาวบ้านร้องโรงงานดอกไม้ไฟระเบิดที่ดอยสะเก็ด เงียบหายไม่ชดเชยเยียวยาผู้ประสบภัยใกล้เคียง หลังบ้านพังเสียหายนับล้าน แถมจ่ายค่าซ่อมบ้านอีก 2 แสนบาท

กรณีโรงงานดอกไม้ไฟระเบิดที่ บ้านสันทุ่งใหม่ ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มีบ้านเรือนเสียหาย จำนวน 37 ครัวเรือน ได้รับบาดเจ็บกว่า 10 ราย เป็น บาดเจ็บสาหัส 3 ราย ที่ยังไม่ได้รับการชดเชยและเยียวยาจากเจ้าของโรงงานผลิตดอกไม้ไฟระเบิด ที่เป็นต้นเหตุดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 หรือกว่า 10 เดือนที่ผ่านมานั้น

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 นายสาธิต คำหน่อแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลสันปูเลย พร้อมด้วยนายบุญญฤทธิ์  นิปวณิชย์ ประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศ ไทย ลงพื้นที่บ้านเลขที่ 111 บ้านสันทุ่งใหม่ ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวยังถูกปิดไว้เหลือเพียงซากปปรักหักพัง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานดอกไม้ไฟระเบิด ซึ่งนายสาธิต และนายบุญญฤทธิ์ ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อสอบถามความเป็นอยู่ หลังจากมีตัวแทนชาวบ้านเข้าไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับเทศบาล ว่ายังไม่ได้รับการเยียวยาจากเจ้าของบ้านจุดเกิดเหตุ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานเกือบ 1 ปีแล้ว เกรงว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

นายสาธิต เผยว่า หลังจากเกิดเหตุ โรงงานพลุระเบิดที่บ้านสันทุ่งใหม่
ซึ่งเทศบาลได้ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นเงินเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งหลังจาก 8 เดือนผ่านไป ทราบว่าชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบยังไม่ได้รับการเยียวยาจากบ้านหลังที่เกิดเหตุแม้แต่บาทเดียว ซึ่งทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวได้ทำประกันไว้แต่ไม่ได้ทำประกันครอบคลุมบ้านที่อยู่รอบๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการประกอบธุรกิจดังกล่าว ควรทำประกันครอบคลุมเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงด้วย  จึงลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมกันนี้ได้เข้ามาพูดคุยกับชาวบ้าน นอกจากนี้หลักฐานจากส่วนราชการบางส่วนที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลช่วงเกิดเหตุทางเทศบาลก็ยังไม่ได้รับ โดยเฉพาะบ้านหลังนี้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดต้องจ่ายเงินส่วนต่างในการซ่อมแซมบ้านตัวเองกว่า 200,000 บาท และมีอีกหลายหลังต้องจ่ายเงินซ่อมบ้านเอง

อย่างไรก็ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้กระทำชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบไม่สมควรต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ซึ่งหลังจากนี้ทางเทศบาลจะได้หาแนวทางในการช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยจะส่งเจ้าหน้าที่มาลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือทางด้ากฎหมายต่อไป

ส่วนนายบุญญฤทธิ์  กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลชาวบ้าน ทราบว่าชาวบ้านไม่มีความเข้าใจเรื่องกฎหมายทำให้ไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์กับ เจ้าของบ้านที่เป็นต้นเหตุ มีเพียงการลงบันทึกประจำวันเท่านั้น หลังจากนี้จะได้มีการประสานข้อมูลกับทางเทศบาล แนะนำให้ชาวบ้านทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน เพื่อประกอบสำนวนคดี หากคดีถึงที่สุดชาวบ้าน สามารถเรียกร้อองค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทน ทั้งประเด็นที่ถูกละเมิด และในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจจะมีการละเลยได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่าผู้เสียหายไม่เคยได้รับการเยียวยาจากบ้านต้นเหตุเลย

ด้านนายท็อป (นามสมมุติ) เจ้าของบ้านที่อยู่ติดกับบ้านหลังที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่าตนได้อาศัยอยู่บ้านหลังดังกล่าวมานานกว่า 10 ปี วันที่เกิดเหตุตนกับภรรยาไปทำงาน ส่วนลูกสาวไปเรียนหนังสือเหลือเพียงญาติผู้สูงอายุอยู่เฝ้าบ้านเพียงลำพัง ขณะเกิดเหตุญาติคนได้กล่าวได้วิ่งหนีไปทางทุ่งนาข้างบ้านเกือบไม่ทันโชคดีที่เพื่อบ้านช่วยประคองหนีไปได้ในที่สุดซึ่งหลังจากเกิดเหตุตนและครอบครัวได้ไปอาศัยอยู่บ้านญาติที่ อ.หางดง เนื่องจากสภาพบ้านพังเสียหายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ โชคดีที่ตนได้ทำประกันบ้านไว้และบางส่วนได้รับการเยียวยาจากเทศบาลตำบลสันปูเลย  จึงได้ให้ช่างมาซ่อมแซมใช้ระยะเวลานานถึง 7 เดือน เพิ่งกลับเข้ามาอยู่บ้านได้เพียงเดือนกว่าเท่านั้น ขณะนี้ยังจัดข้าวของไม่เสร็จ ส่วนค่าซ่อมแซมบ้านที่เสียหายหนักหมดไปเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งตนต้องจ่ายค่าส่วนเกินไปเกือบ 2 แสนบาท นี่ยังไม่รวมข้าวของที่เสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยพูดคุยกัเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุเรื่องเงินค่าชดเชยแต่ก็เงียบหายไป