“ทางหลวง” ระดมความเห็นรับฟังชาวเชียงใหม่ แก้ปัญหาจราจรเส้นทาง 121 ช่วงดอนแก้ว–เหมืองกุง เผยรูปแบบที่ 5 ลงทุน 2,000 ล้านกระทบชุมชนน้อยที่สุด

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ อ.เมืองจ.เชียงใหม่ นายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประชุมรับฟังความคิดเห็น รอบ 2 พร้อมเสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจร บนทางหลวงหมายเลข 121 ตอนดอนแก้ว-เหมืองกุง โดยมีนายนายเสกสิทธิ์ ศิริไวทยพงศ์ ผู้จัดการโครงการ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน ภาคประชาชนเข้าร่วมการประชุม กว่า 100คน

สำหรับโครงการ มีรายละเอียด ดังนี้ จุดเริ่มต้นโครงการบริเวณจุดตัดทางแยกระหว่างทางหลวงหมายเลข 121 และทางหลวงหมายเลข 107 (แยกดอนแก้ว) กม.32+100 ถึง จุดสิ้นสุดโครงการบริเวณจุดตัดทางหลวงหมาย เลข 108 กม.52+957 (แยกสะเมิง) ระยะทางรวมประมาณ 20.857 กิโลเมตร ทั้งนี้ เนื่องจากแนวเส้นทางโครงการจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุดโครงการมีทางแยกสำคัญ 14 จุด และมีทางแยก 3 คู่ (รวม 6 จุด) ที่มีระยะห่างระหว่างทางแยกน้อยเพียง 500 – 550 เมตร ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีการพิจารณาปิดทางแยกบางจุดและปรับปรุง ทางแยกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางบนแนวเส้นทางโครงการ และเนื่องจากพื้นที่โครงการเป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่น มีแนวคลองชล ประทานที่มีความสําคัญมากต่อพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ขนานกับแนวเส้นทางตลอดทั้งแนว ดังนั้น ในการพิจารณาออกแบบปรับปรุงทางแยกจะต้องพิจารณาให้มีผลกระทบด้านการโยกย้ายเวนคืนและผลกระทบกับชุมชนน้อยที่สุด

รูปแบบการปรับปรุงทางแยกทั้ง 3 ช่วง มีรายละเอียดดังนี้

1.รูปแบบการปรับปรุงทางแยก ช่วงที่ 1 กม.32+900 – กม.39+200 (แยกเข้ากองทัพภาคที่3 ถึงแยกศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ ได้ พิจารณาออกแบบปรับปรุงทางแยก โดยเพิ่มช่องจราจรสำหรับรถเลี้ยวซ้ายบริเวณทางแยกให้อยู่ในเขตทางเดิม รวมถึงปรับปรุงวงรอบสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจรรูปแบบการปรับปรุงทางแยก ช่วงที่ 2 กม.39+200 – กม.42+730 (แยกเจ็ดยอด-ช่างเคี่ยนถึงแยกไปวัดอุโมงค์) ซึ่งรูปแบบโครงการจะแยกทิศทางจราจรขนานสองฝั่งของคลอชลประทาน โดยพื้นที่ฝั่งทิศตะวันตกของคลองชลประทานแคบกว่าฝั่งทิศตะวันออก ทำให้ออกแบบทางข้ามหรือทางลอด มีผลกระทบด้านการโยกย้ายเวนคืนพื้นที่ด้านข้างบริเวณทางแยกของทางหลวงหมายเลข 121 โดยเฉพาะช่วงแยกจุดตัดถนนห้วยแก้ว – จุดตัดถนนสุเทพ สองข้างทางซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชน โรงแรม ตลาด และอาคารพาณิชย์ ดังนั้น ในบริเวณนี้จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือกรูปแบบทางแยกที่เหมาะสม โดยจากผลการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ในด้านต่างๆ พบว่า รูปแบบสะพานยกระดับเป็นรูปแบบการปรับปรุงทางแยกที่เหมาะสมที่สุดของโครงการช่วงที่ 2 กม.39+200 – กม.42+730 (แยกเจ็ดยอด –ช่างเคี่ยนถึงแยกไปวัดอุโมงค์) โดยออกแบบให้ทางหลวงหมายเลข 121 เป็นทางยกระดับยาวข้ามจุดตัดถนนเจ็ดยอด-ช่างเคี่ยนจนถึงแยกสุเทพ แล้วจึงกดระดับลง รูปแบบเป็นทางยกระดับขนาด

2.รูปแบบการปรับปรุงทางแยก ช่วงที่ 2 กม.39+200 – กม.42+730 (แยกเจ็ดยอด-ช่างเคี่ยนถึงแยกไปวัดอุโมงค์) ซึ่งรูปแบบโครงการจะแยกทิศทางจราจรขนานสองฝั่งของคลอชลประทาน โดยพื้นที่ฝั่งทิศตะวันตกของคลองชลประทานแคบกว่าฝั่งทิศตะวันออก ทำให้ออกแบบทางข้ามหรือทางลอด มีผลกระทบด้านการโยกย้ายเวนคืนพื้นที่ด้านข้างบริเวณทางแยกของทางหลวงหมายเลข 121 โดยเฉพาะช่วงแยกจุดตัดถนนห้วยแก้ว – จุดตัดถนนสุเทพ สองข้างทางซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชน โรงแรม ตลาด และอาคารพาณิชย์ ดังนั้น ในบริเวณนี้จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือกรูปแบบทางแยกที่เหมาะสม โดยจากผลการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ในด้านต่างๆ พบว่า รูปแบบสะพานยกระดับเป็นรูปแบบการปรับปรุงทางแยกที่เหมาะสมที่สุดของโครงการช่วงที่ 2 กม.39+200 – กม.42+730 (แยกเจ็ดยอด –ช่างเคี่ยนถึงแยกไปวัดอุโมงค์) โดยออกแบบให้ทางหลวงหมายเลข 121 เป็นทางยกระดับยาวข้ามจุดตัดถนนเจ็ดยอด-ช่างเคี่ยนจนถึงแยกสุเทพ แล้วจึงกดระดับลง รูปแบบเป็นทางยกระดับขนาด

    3.ช่องจราจร พร้อมไหล่ทางและเพิ่มทางขึ้น-ลง บริเวณแยกถนนสุเทพ ทิศทางอื่นออกแบบเป็นแยกสัญญาณไฟจราจรซึ่งรูปแบบดังกล่าว มีผลกระทบต่อการเวนคืนน้อย แต่มีค่าก่อสร้างสูงเนื่องจากเป็นสะพานยกระดับยาว

    4.รูปแบบการปรับปรุงทางแยก ช่วงที่ 3 กม.42+730 – กม.51+019 (แยกเทศบาลตำบลสุเทพถึงแยกราชพฤกษ์) พิจารณาออกแบบปรับปรุงทางแยก โดยเพิ่มช่องจราจรสำหรับรถเลี้ยวซ้ายบริเวณทางแยกให้อยู่ในเขตทางเดิม รวมถึงปรับปรุงวงรอบสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร

      สำหรับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงที่ผ่านมา ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ สำรวจและเก็บตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีประเด็นที่ศึกษาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งจะนำไปศึกษาต่อในขั้นรายละเอียด (EIA) เพื่อเตรียมกำหนดมาตรการป้องกัน และแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

      ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมครั้งนี้ กรมทางหลวง จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ
      จากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาและออกแบบรายละเอียดของโครงการให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

      นายเสกสิทธิ์ กล่าวว่า กรมทางหลวงให้ที่ปรึกษาโครงการจัดรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จนถึงปัจจุบันได้มีการออกแบบทางยกระดับทั้งหมด 6 รูปแบบ พบว่ารูปแบบที่ 5 มีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่น้อยที่สุด ทั้งการเวนคืน ระบบสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ที่สำคัญทำให้มีการพล่องถ่ายการจราจรเกินกว่า 50 % แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการบดบังทัศนียภาพของดอยสุเทพ

      สำำหรับรูปแบบที่ 5 มีการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นค่าก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท ค่าเวนคืน 500 ล้านบาท และค่าอื่นๆอีก 500 ล้านบาท คาดว่าใช้เวลาในการดำเนินการกว่า 2 .6 ปี ทั้งนี้กรมทางหลวงอาจมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอีกหลายครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุป จากนั้นให้ที่ปรึกษาโครงการเริ่มออกแบบในรายละเอียดจึงจะทราบว่าพื้นที่บริเวณไหนต้องถูกเวรคืนได้ คาดสรุปผลและออกแบบสร้าง กลางปีหน้า