นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ แถลงกรณีเยาวชนใช้อาวุธก่อเหตุความรุนแรงในห้างสรรพสินค้าใหญ่ย่านใจกลางเมือง โดยเปิดเผยว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. และ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บ พร้อมแสดงความห่วงใยกับกรณีที่เกิดขึ้น หลังจากที่ทราบเหตุได้มอบหมายให้ติดตามสถานการณ์ และได้รับรายงานว่าโรงเรียนดังกล่าวเป็นโรงเรียนการศึกษาทางเลือกตามอัธยาศัย ตาม พ.ร.บ.การศึกษา 2542 ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีหลักสูตรการเรียนการสอนเน้นสาระวิชาและรูปแบบทางเลือก มีนักเรียน 800 คน ครู 115 คน ถือเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมและมีสัดส่วนครูกับนักเรียนที่ดี
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ศธ.จะร่วมถอดบทเรียน โดยเฉพาะตัวหลักสูตรแกนกลางที่ใช้ในการกำกับดูแลโรงเรียนทางเลือกให้ครอบคลุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีกในอนาคต โดย รมว.ศธ.ได้มีนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ที่เน้นหลักสูตรสร้างทักษะให้เด็กโดยได้รับการแนะนำจากครูแนะแนวและครูอันเป็นที่รักของเด็กในโรงเรียน ให้ค้นพบเป้าหมายของชีวิตหรือประกอบอาชีพระหว่างเรียนได้ ตอนนี้สิ่งที่มีความจำเป็นมากคือโรงเรียนจะต้องมีคนที่รู้สภาพเด็ก ซึ่งที่ผ่านมา ศธ.ได้ทำ MOU กับกรมสุขภาพจิต เพื่อสร้างการรับรู้กับบุคลากรทางการศึกษาให้รู้วิธีติดต่อสื่อสารสังเกตอาการเด็ก คอยให้คำปรึกษากับผู้ปกครองอย่างตรงไปตรงมา จะได้แนะนำ สนับสนุน การใช้ชีวิตร่วมกันของผู้ปกครองและเด็กอย่างมีความสุข
เบื้องต้นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาได้ลงพื้นที่ตั้งแต่เมื่อวาน (3 ต.ค. 66) พบว่าเด็กอาจมีสภาวะปัญหาด้านจิตใจแต่ยังไม่สามารถตัดสินได้ อีกทั้งได้มีการสอบถามเหตุจูงใจจากผู้ปกครองแล้วแต่ยังไม่พร้อมให้ข้อมูล ส่วนประเด็นในโซเชียลที่ว่าเยาวชนติดเกมหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่อยากด่วนสรุปว่าเป็นเพราะปัจจัยใดที่ทำให้มีการก่อเหตุเกิดขึ้น ถือเป็นโอกาสให้สังคมได้มองย้อนกลับมาดูเรื่องของระบบการศึกษาว่ามีปัญหาหรือไม่ แต่สิ่งที่คิดว่าจะกระตุกสังคมในวันนี้ คือ ปัญหานี้มีโอกาสเกิดได้ทุกระบบการศึกษา และควรมีมาตรการดูแลในสถานการณ์แบบนี้ให้ดีที่สุดเพื่อหาทางป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคตในทุกระบบการศึกษา
ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าเด็กอยู่ในสภาวะกดดันทั้งผู้เรียนและผู้สอน เพราะบุคลากรทางการศึกษาอยู่บนความมุ่งหวังจากสังคมภายนอกมากมาย จากนี้ต้องถอดบทเรียนสำหรับหน่วยงานในสังกัดที่สามารถดำเนินการได้ หาข้อตกลงร่วมกันที่จะรับได้ทั้งสองฝ่ายเพื่อให้มีแนวทางที่เหมาะสมในการดูแล รวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหา ไม่ใช่เฉพาะสถานศึกษาแต่เป็นผู้ปกครองหรือสังคมที่ต้องแนะนำเยาวชนให้ใช้สื่อโซเชียลหรือคอนเทนท์ตามช่วงอายุที่กำหนดให้เหมาะสมกับผู้ใช้ วันนี้ยังไม่ด่วนสรุปและโทษว่าเป็นความผิดของสิ่งใด ที่สำคัญคือต้องหาเหตุจูงใจเพื่อถอดบทเรียนให้ได้นำมาสู่การป้องกันแก้ไขปัญหาในภายภาคหน้าต่อไป
“การผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ให้ครอบคลุมทันการเปลี่ยนแปลง มีข้อกฎหมายที่เหมาะสมในการพัฒนาการศึกษา ควรจะต้องเร่งผลักดันให้เกิดขึ้น” โฆษก ศธ. กล่าว